“นอกจากนี้ทางบริษัทก็ยังคงให้ความสำคัญกับการทำการตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค สื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละแบรนด์ในเครือ พร้อมติดเครื่องเร่งสปีดดันยอดให้ได้ตามเป้ากันตั้งแต่ต้นปี คาด Q2 ปี 2566 เติบโตอย่างต่อเนื่องแน่นอน” คุณยุพาพรรณ กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โชว์ผลงานไตรมาส 4/2565 กวาดรายได้รวมทั้งสิ้น 946 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ภาพรวมของปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 3,413 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 154 ล้านบาท
คุณยุพาพรรณ เอกสิทธิกุล กรรมการบริหารและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและบัญชี บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4 ปี 2565 รายได้ของบริษัทรวมทั้งสิ้น 946 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้ธุรกิจร้านอาหาร จากการฟื้นตัวของธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อีกทั้งยังมีการขยายสาขาใหม่โดยเฉพาะสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ รวมถึงการออกโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าและการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากความพยายามของบริษัทในการปรับโมเดลธุรกิจ ซึ่งในปีนี้ได้เข้าลงทุนในบริษัท คิง มารีน ฟู้ดส์ จำกัด ช่วยผลักดันให้รายได้ธุรกิจอาหารค้าปลีกของบริษัทเติบโตขึ้นมาก ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 46 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 3,413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,158 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 154 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 92 ล้านบาทในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 245 ล้านบาท และนับเป็นผลประกอบการที่บริษัททำได้สูงสุดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน ๆ มา ตั้งแต่ก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19”
คุณบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2565 บริษัทได้โฟกัสที่กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ธุรกิจร้านอาหารของสาขาเดิมของบริษัท +25.5% โดยเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร เพิ่มขึ้น 928 ล้านบาท หรือ 59% หลังการปลดข้อจำกัดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกลับมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น ประกอบกับการเปิดสาขาใหม่บนทำเลที่มีศักยภาพ
ซึ่งในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 บริษัทเปิดร้านอาหารใหม่จำนวน 18 สาขา เป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 9 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 9 สาขา หากนับรวมทั้งปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทเปิดร้านอาหารใหม่จำนวนทั้งหมด 45 สาขา เป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 25 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 20 สาขา ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 345 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 155 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 190 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45:55”
“ตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจกว่า 32 ปี ปัจจุบันมีร้านอาหารในเครือกว่า 10 แบรนด์ ซึ่งมีการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ทั้งสาขาที่ลงทุนเองและแฟรนไชส์ เพื่อให้ครอบคลุมในไทยและต่างประเทศ โดยในปี 2566 นี้ ทางบริษัทก็ยังคงเน้นการทำรายได้และกำไรของสาขาที่มีอยู่ในปัจจุบัน การปรับโมเดลธุรกิจให้กระชับ ทันสมัย พร้อมทั้งการขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ภายในปี 66 รวมถึงความพร้อมของการบริหารจัดการร้านอาหาร ต่อยอดการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเข้ามาเพื่อช่วยพัฒนาระบบภายในร้าน และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Robot, QR Ordering/Payment, Cashless ให้รองรับการใช้งานกับทุกร้าน และทุกสาขาในเครือทั้งหมด เพื่อเตรียมรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยความมั่นคงและยั่งยืน
อีกทั้งยังได้มีการเน้นการทำการตลาดที่เผ็ดร้อน ตั้งเป้าขยาย Customer Base ให้กว้างขึ้นในทุกมิติ ด้วยการใช้กลยุทธ์ Insightful Marketing ที่จะต้องเข้าใจความต้องการที่ซ่อนอยู่ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง และสร้างกระแสที่สนุกสนานให้กับวงการตลอดทั้งปี” คุณบุญยง กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็น กรุ๊ป ผู้นำธุรกิจบริการด้านอาหารของประเทศไทย นำโดย คุณบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ประจำปี 2565 ต่อเนื่องปีที่ 2 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยในปีนี้ เซ็น กรุ๊ป ได้รับคะแนนการประเมินสูงถึง 96% สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาศักยภาพของการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยึดมั่นปฏิบัติตามนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี ขับเคลื่อนความยั่งยืน ควบคู่กับการดำเนินงานของบริษัทที่ครอบคลุมมิติสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน